เช้าวันนี้ตื่นมาเวลประมาณ 06.30 น. ครับ ทำการเก็บข้าวของไว้และลงไปทานอาหารเช้าที่โรงแรม โปรแกรมวันนี้ยาวเลยครับ อันดับแรกไปเยี่ยมชม ปราสาทคุมาโมโต้กันก่อนเลยแล้วกัน ก่อนจะเดินทางเราจึงขอฝากกระเป๋าไว้กับทางโรงแรมซะก่อน แล้วจึงออกเดินทาง
การเดินทางจากโรงแรมที่เราพักไปยังปราสาทคุมาโมโต้เราจะไปโดยรถรางครับ ประวัติคร่าว ๆ ของปราสาทคุมาโมโต้ ขออนุญาติอ้างอิงมาจาก wikipedia นะครับ
ปราสาทคุมะโมะโตะได้่เริ่มสร้างขึ้นอย่างจริงจังจนเสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 1601 โดยดำริของ คะโต คิโยะมะซะ เจ้าแห่งคุมะโมะโตะ เพื่อใช้เป็นป้อมปราการ จนแล้วเสร็จในปี ค.ศ. 1607 พื้นที่อาณาบริเวณของปราสาทยาวประมาณ 9 กิโลเมตร ตัวปราสาทมีป้อมปืน 49 ป้อม ประตูป้อมปืน 18 ประตู และประตูขนาดเล็ก 29 ประตู มีหอคอยสูง 2 หอ ทำให้สามารถมองได้รอบทิศจากมุมสูง หอใหญ่จะสูง 30.3 เมตร หอเล็กสูง 19 เมตร ปราสาทหลังเดิมถูกเพลิงไหม้เสียหายในปี ค.ศ.1877 ต่อมาได้สร้างใหม่ในปี ค.ศ.1960
ในการนั่งรถรางนี้เราจะไปลงที่สถานี Kumamoto Castle เลยนะครับ
พอถึงสถานีเราจะมาโผล่ตรงทางด้านข้างของปราสาทนะครับ ทางด้านข้างของปราสาทนั้นจะปลูกต้นซากุระ เรียงรายเลยครับ เป็นซากุระที่แรกที่ได้พบตั้งแต่มาเที่ยวญี่ปุ่นเลย แต่ช่วงบานใหม่ ๆ ซากุระจะค่อนข้างขาวอยู่ครับ
ตื่นเต้นกับซากุระมากครับ อยู่ถ่ายรูปกันเพลินจนเกือบลืมเป้าหมายหลักของเราเลย ฮ่า ๆ เดินตามทางไปเรื่อย ๆ เราจะพบกับทางเข้าของปราสาทแล้วครับ
ตั๋วเข้าชมปราสาทมี 2 แบบนะครับ แต่ผมฟังไม่ค่อยออก แต่ตามแผนการของเราคือจะไป Kumamoto Castle – Former Hosokawa Residence เลยเลือกซื้อตั๋วที่เข้าชมได้ของทั้งสองที่ไปนะครับ หน้าตาตั๋วก็ประมาณนี้ครับ
สภาพอากาศที่ญี่ปุ่นค่อนข้างเดาใจยากมากครับ เดี๋ยวท้องฟ้าสดใส สักพักนึงเมฆฝนมาครึ้มแล้ว การถ่ายรูปให้ท้องฟ้าออกมาเป็นสีฟ้านั้น ค่อนข้างยากครับ เราจึงใช้ทักษะการโกง แอบมาดึงสีฟ้าให้โปรแกรม Photoshop Lightroom สักหน่อย
เดินตรงเข้ามาสักพักก็พบปราสาทแล้วครับ แต่เป็นด้านหลังของปราสาท
ส่วนรูปต่อไปนี้คือป้อมปราสาท Uto Turret ที่เหลือรอดจากการถูกโจมตีนะครับ
เดินอ้อมมาสักพักจะพบด้านหน้าของปราสาทแล้วครับ ซึ่งมีผู้คนมาชมเยอะมาก รวมทั้งคนไทยก็มีมาบ้างเช่นเดียวกัน
ส่วนรูปนี้คือเจ้าปราสาทน้อยครับ เป็นสิ่งที่ไม่ว่างอยู่ตลอดเวลา หาโอกาสที่จะถ่ายรูปเดี่ยว ๆ ไม่ได้เลย
ภายในปราสาทส่วนใหญ่จะเป็นสิ่งปลูกสร้างที่ยังหลงเหลือของปราสาทนะครับ แต่ทางนั้นไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปออกมา เราเลยขึ้นไปด้านบนสุดของปราสาทถ่ายภาพวิวมาให้ชมกันครับ
เดินออกจากปราสาทมาทางขวามือจะมีสถานที่หนึ่ง น่าจะเป็นสถานที่จัดแสดงห้องจำลองของตัวปราสาทนะครับ เข้าไปรับชมภาพกันได้เลย
หลังจากนั้นเราก็จะพาไปชมรอบ ๆ ปราสาทกันนะครับ ก่อนจะออกมาขอถ่ายรูปตัวปราสาทอีกสักรูปก่อนลาจาก
รูปต่อไปนี้คือซากของปราสาทที่ยังหลงเหลือนะครับ
เป้าหมายต่อไปของเราจะพาไปชม Former Hosokawa Residence ซึ่งเป็นบ้านที่อยู่อาศัยของตระกูล Hosokawa ซึ่งเป็นตระกูลใหญ่ที่ครอบครองเมือง Kumamoto ในสมัย Edo นะครับ ตัวบ้านมีลักษณะเป็นบ้านพักของซามูไรในสมัยนั้น
สถานที่นี่ค่อนข้างที่จะเงียบครับ ไม่ค่อยมีคนมาเยี่ยมชมสักเท่าไรเลย บรรยากาศภายในเหมือนอยู่ในหนังญี่ปุ่นสมัยก่อนเลยครับ ตามมาชมภาพได้เลย
หลังจากเยี่ยมชมได้สักพักก็เวลาประมาณ 11.00 น. ก็ต้องได้เวลาที่ต้องกลับแล้ว เนื่องจากว่าเราต้องนั่ง ชิงคันเซ็น เพื่อไปเมือง Nagasaki ในเวลาประมาณ 12.45 น.
ระหว่างทางเดินกลับไปขึ้นรถราง บริเวณริมปราสาทคุมาโมโต้ก็เริ่มมีร้านขายของตั้งกันแล้ว
หลังจากนั้นเราก็นั่งรถรางกลับมาถึงโรงแรมครับ เวลาประมาณเที่ยงได้ ก็ทำการรับกระเป๋าที่ฝากไว้แล้วทำการเดินทางไปสู่สถานีรถไฟเพื่อขึ้น ชิงคันเซ็นครับ โดยจะขึ้นจากเมือง Kumamoto ไปลงที่สถานี Shin-Tosu แล้วจะต่อรถด่วน Limited Express ไปยังเมือง Nagasaki ครับ
เนื่องจากเวลากระชั้นชิดมาก เราเลยนั่งทานข้าวกล่องบนรถไฟนะครับ ซึ่งวิถีชีวิตส่วนใหญ่ของคนที่นี่ก็จะทานข้าวกล่องบนรถไฟเหมือนกัน
รถไฟชิงคันเซ็นเร็วมากเลยครับ ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเราก็มาถึงสถานี Shin-Tosu แล้ว เราก็เปลี่ยนขบวนที่นี่เพื่อที่จะไปเมือง Nagasaki ครับ
นั่งรถไฟ Kamome ประมาณ 1 ชั่วโมงเราก็มาถึงเมือง Nagasaki แล้วครับ เมืองนี้เป็นเมืองที่ถูกโจมตีด้วยระเบิดนิวเคลียสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วย แต่ตอนนี้กลับเป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรือง มีคนพลุกพล่านมากครับ หลังจากเดินทางมาถึงเราก็มุ่งหน้าหาที่พักเลยครับ เพื่อที่จะเก็บของแล้วจะได้เที่ยวภายในตัวเมืองต่อนิดหน่อย ที่พักคืนนี้เราค้างที่ Business Royal Hotel Nagasaki นะครับ หลังจากเช็คอินที่นี่แล้วทางโรงแรมมีบัตรส่วนรถสำหรับสถานที่ท่องเที่ยวให้ด้วย
ระอาทิตย์ก็ใกล้จะตกแล้ว เราจะพาทุกท่านขึ้นกระเช้าไปยังยอดภูเขา Inasa กันนะครับ ภูเขาลูกนี้จะสามารถมองเห็นวิวของเมือง Nagasaki ได้อย่างสวยงาม ระหว่างเดินทางเกิดฝนตกหนักมาก ทำให้ท้องฟ้าค่อนข้างปิดและมีลมแรงมาก แต่เราไม่หวั่น เราเดินทางลุยมาถึงทางขึ้นกระเช้าจนได้
ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีกระเช้าจะพาไปถึงยอดเขาแล้วครับ ซึ่งบนนี้จะมีจุดชมวิวของเมือง มีนักท่องเที่ยวเยอะมาก แบกขาตั้งกล้องมาถึงวันที่ 3 ได้โอกาสใช้งานนี้และ . . . แต่ปัญหาก็เกิดครับ เนื่องจากว่าลมแรงมาก ขาตั้งกล้องยังเอาให้นิ่งไม่อยู่ ภาพต่อไปนี้อาจจะเบลอเล็กน้อย (ร้องไห้)
หลังจากตากลม ตากฝนถ่ายภาพจนหนำใจ ร่างกายก็แบตหมดแล้วขับ แบกสังขารตัวเองพร้อมกับอุปกรณ์ถ่ายรูปอีก 10 กิโล เดินกลับโรงแรมเพื่อชาร์จแบตเตรียมตัวสำหรับวันต่อไป ติดตามตอนต่อไปใน Part 5 ได้เลยครับ ภาพส่งท้ายสำหรับ Part นี้ คือโรงแรมที่เราใช้พักผ่อนสำหรับคืนนี้นะครับ








































You must be logged in to post a comment.