by admin | Mar 20, 2016 | Travel

กว่าจะถึงคันไซ…
สวัสดีค่ะ ชื่อเบญนะคะ ขอแทนตัวว่าเรานะคะ เพราะที่นี่ทุกคนคือเพื่อนร่วมทริปกัน แม้ว่าเราจะไม่ได้ไปด้วยก็ตาม อิอิ แต่เราขออนุญาตมาแบ่งปันประสบการณ์ในช่วงเวลาที่สุดๆสำหรับเราในทริปครั้งแรกที่โอซาก้านะคะ มาเริ่มกันเลย…

เดินทางคนเดียว ครั้งแรกด้วยค่ะ เราไว้ใจเราไปกับพี่คาเธ่ค่ะ อิอิ
ในวันที่ตัดสินใจว่าจะไปญี่ปุ่น(โอซาก้า)นั้น เราคิดหลายตลบมากค่ะ เพราะมนุษย์เงินเดือนอย่างเรา ถามว่างบจะพอไหม??? ตั้งแต่วันนั้นเริ่มงกค่ะ จะเก็บตังค์เพื่อญี่ปุ่น และเริ่มวางแผนการเดินทางและการใช้งบน้อยหอยสังข์ของเรากันค่ะ สรุปง่ายๆคือต้องนั่งจากสุวรรณภูมิ ไปฮ่องกง และต่อจากฮ่องกงไปยังสนามบินคันไซอีกทีค่ะ จนวันเดินทางของเราก็มาถึง เราเดินทางกับพี่ๆอีกสองคนค่ะ เขาจะไม่ห่วงเราเลยถ้า…มันไม่ใช่เราเดินทางคนเดียวค่ะ และนี่เป็นครั้งแรกที่เราบินออกต่างประเทศ อีกทั้งยังต้องเปลี่ยนเครื่องที่ฮ่องกงด้วยค่ะ พี่ๆก็คอยห่วงเรา กลัวไม่ถึงญี่ปุ่นล่ะสิ??? จริงๆก็เกือบแล้วค่ะ ฮ่าๆๆๆ ตื่นเต้นที่สุด สั่นไปหมดค่ะ แทบลมจับ
เราถึงฮ่องกงอย่างสวัสดิภาพค่ะ แต่หลังจากนั้นนี่สิ ในบอร์ดดิ้งพาสเราที่ต่อจากฮ่องกงมันไม่ได้ระบุเกทที่จะขึ้นเครื่องค่ะ ต้องมาหาเองที่สนามบินฮ่องกง เอาล่ะสิ!!! มีเวลาเปลี่ยนเครื่องราวๆชั่วโมงครึ่งค่ะ วิ่งสิคะ รออะไร? เราวิ่งๆๆๆ จนถึงเกท 53 ค่ะ เพื่อหาสายการบินที่จะขึ้น แต่เราเสียเวลากับการหาทางไปเปลี่ยนเครื่องค่ะ (ยากตรงนี้แหละค่าาา) วิ่งๆอยู่ก็ฉลาดขึ้นมาซะงั้นค่ะ พยายามมองหาบอร์ดแสดงเที่ยวบินค่ะ และแล้ว….หนูก็เจอ!!! แต่ก็ต้องหน้าตั้งวิ่งกลับมาที่เกท 1 ค่ะ ลองคิดนะคะ เกท 53 ถึงเกท 1 ลิ้นห้อยค่ะ จนแล้วจนรอด เราก็สามารถมาถึงเกทที่ต้องขึ้นเครื่องไปต่อ ได้พักหายใจหายคอ 15 นาที ก็ต้องขึ้นเครื่องแล้ว ในใจก็โล่งไปเปราะหนึ่ง เอาวะมาถึงนี่แล้ว เอาให้สุดเลยแล้วกัน…

นั่งพักให้หายหอบจากการวิ่งก่อนค่ะ ที่สนามบินฮ่องกง…
พอเรานั่งที่เรียบร้อยแล้ว เราก็ทำเนียนๆค่ะ พยามไม่ตื่นเต้นอะไร แต่…ก็เจอปัญหาใหม่คือ การเขียนใบตรวจคนเข้าเมืองค่ะ โอ๊ยยยยยย หนูไม่เคยเขียนเลย บางคำก็ยากเกินไปสำหรับหอยสังข์อย่างเรา แล้วเราก็ได้เจอนางฟ้าค่ะ หันไปทางขวามือเราก็ได้เจอนางฟ้าค่ะ ซึ่งเธอเป็นคนญี่ปุ่นและก็เปลี่ยนเครื่องเหมือนกับเรา ก็ได้ทักทายกันตามประสาคนที่เข้ากับคนง่าย นางฟ้าก็โปรดหอยสังข์ด้วยการอ่านด้านที่เป็นภาษาญี่ปุ่นมาแปลเป็นอังกฤษอย่างง่ายให้เราอีกทีหนึ่ง ซึ่งมันก็เรียบร้อยค่ะ เวลาผ่านไปราวๆ 2-3 ชั่วโมง เราก็เข้าสู่น่านฟ้าของเขตคันไซค่ะ แล้วเราก็เจอฝนฟ้าคะนองด้วย เรากับเพื่อนใหม่ก็มองหน้ากันแล้วสวดมนต์กันอย่างไม่ได้นัดหมายค่ะ คือกลัวมากๆเลย กลัวลงจอดไม่ได้ เพราะเครื่องสั่นตลอดเวลา ที่สุดเราก็ถึงคันไซอย่างปลอดภัยค่ะ เย่ๆๆ
ด่านต่อมาคือตรวจคนเข้าเมืองค่ะ เขาว่ากันว่าตรวจคนเข้าเมืองของญี่ปุ่นนั้นหินมาก คือเราอ่านเยอะจนวิตกเกินไปค่ะ เอาเข้าจริงๆแล้วก็ห้านาที อย่างฉลุยค่าาาา ฮ่าๆๆ ต้องยกความดีงามนี้แด่เพื่อนใหม่ค่ะ เขาช่วยเราเยอะมากจริงๆค่ะ ช่วยยันเรื่องการซื้อตั๋วรถไฟและจัดการหาที่ให้เรารอพี่ๆมารับได้สะดวกเลยค่ะ คนดีของเบญที่เราไม่อาจลืมค่ะ อิอิ รอจนจะห้าทุ่มค่ะ (ลืมบอกไปว่าถึงตอนสามทุ่มครึ่งค่ะ) เกือบตกรถไฟรอบสุดท้ายอีก…แต่ก็ถึงที่พักอย่างปลอดภัยค่าาาา มาถึงก็ซัดของกินก่อนเลยค่ะ ราคาคนงบน้อยราวๆ 33 บาทค่ะ คือ ข้าวปั้นสามเหลี่ยม เลือกมาด้วยความไม่รู้ว่ารสอะไร แต่บอกเลยว่าอร่อยมากกก อิอิ นอนพักเอาแรงค่ะ เพลียมาทั้งวัน พรุ่งนี้เราต้องแบกเป้เที่ยวค่ะ


มื้อแรกที่โอซาก้าค่ะ อร่อยมากกก แต่ได้แค่ดมค่ะ เหนื่อยจนกินไม่ค่อยลงค่ะ
ขอบคุณที่อ่านนะคะ นี่เป็นครั้งแรกที่ลองเขียนอะไรแบบนี้ ยังดูขัดๆเขินๆ ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้นะคะ ตอนนี้ยังไม่มีอะไรมากมาย แค่อยากเล่าประสบการณ์ครั้งแรกในการเดินทางของเราให้เพื่อนๆอ่านดูว่าการเดินทางคนเดียวได้อะไรเยอะกว่าที่คิดค่ะ ที่เห็นๆเลยคือ มิตรภาพค่ะ เพื่อนใหม่เราชื่อ ซาโอริ ที่คอยห่วงเราทั้งที่เพิ่งได้รู้จักกัน จนตอนนี้เราก็ยังติดตามถามไถ่กันอยู่ค่ะ (เราไปช่วงเดือนตุลาคม ปี 2013 ค่ะ)

เพื่อนใหม่ค่ะ น่ารักมั้ยคะ?? อิอิ
ตอนหน้า!!! เราจะเริ่มรีวิวสถานที่และของกินที่ขอบอกว่าแปลก ใหม่ และที่สุดสำหรับเราค่ะ รอติดตามนะคะ ขอบคุณค่าาา
by: BenKimji
by admin | Mar 20, 2016 | Travel
กลับมาต่อกันเลยนะครับ หลังจากที่เราเดินทางถึงสนามบินฟุกุโอกะเรียบร้อยแล้ว ภารกิจต่อไปคือการนำ JR pass ที่ซื้อ
จากที่เมืองไทย มาขึ้นเป็นบัตรจริงที่ญี่ปุ่นนะครับ เริ่มต้นออกจากสนามบินก็จะเจอป้ายรอรถเมล์เลย ซึ่งป้ายรอรถเมล์ของที่ญี่ปุ่นตรงนี้ จะมีเป็น Line แยกจากกันอย่างชัดเจน ว่า Line ไหนขึ้นรถสายอะไร

แผนการต่อไปของเรานะครับ คือการรอรถเมล์จากหน้าสนามบินไปลงที่ Hakata Station ซึ่งการขึ้นรถโดยสารทั้งหมดของที่ญี่ปุ่นจะตรงเวลามากครับ เช่นระบุไว้ว่าจะมาถึง 13.07 ก็จะมาจอดตรงเวลานั้นพอดีเป๊ะมาก ถ้ามาก่อนแสดงว่าขึ้นผิดสายนะครับ หลังจากรอได้สักพัก รถเมล์ก็มา เราก็ทำการขึ้นเลยครับ ตอนขึ้นรถเมล์ ให้เราหยิบบัตรตอนขึ้นรถเมล์ด้วยนะครับ จะเป็นบัตรที่บอกว่าเราขึ้นมาจากสถานีไหน ตอนจะลงก็ให้ดูราคาตรงป้ายด้านหน้าสุดของรถ จะแจ้งว่า ถ้ามาจากสถานีที่ 1 ลงป้ายหน้าเป็นราคากี่บาท

นี่คือภายในของรถเมล์ที่เรานั่งนะครับ รถเมล์ค่อนข้างที่จะสะอาด และเงียบมาก สังเกตตรงเสาสีส้มนะครับ จะมีปุ่มให้กด มันคือปุ่มกดให้คนขับจอดป้ายต่อไปนั่นเอง นั่งไปได้ 5 สถานีเราก็ถึง Hakata Station แล้วครับ ขั้นตอนการจ่ายเงินของรถโดยสารทั้งหมดของที่นี่นะครับ ให้เราดูราคาที่ป้ายหน้ารถ แล้วทำการแลกเงินกับตู้ด้านข้างคนขับ (ไม่ใช่จ่ายที่คนขับนะครับ เป็นเครื่องแลกเหรียญอัตโนมัติ) ทำการใส่แบงค์ 1000 เยนลงไป เครื่องจะแลกออกมาเป็นเหรียญ 100 เยน 50 เยน และ 10 เยน ให้เรา จากนั้นก็นำเงินที่แลกมาได้ หย่อนลงไปตรงช่องรับเงินพร้อมกับบัตรที่รับมาตอนขึ้นรถเลยนะครับ
พอถึง Hakata Station ทีนี้ต้องหาแลกบัตร JR Pass แล้ว ให้เราหาป้ายเขียนว่า JR สีเขียว ๆ นะครับ อยู่ชั้น 1 ของสถานีเลย เดินเข้าไปแล้วทำการยื่นตั๋วที่ซื้อมาจากไทยให้ ทีนี้เจ้าหน้าที่ก็จะออกบัตร JR ที่สามารถใช้ได้มาให้แล้วครับ

เนื่องจากตอนนั้นเวลากระชั้นชิดแล้วที่รถไฟเดินทางไปเมือง Beppu จะออก เราจึงหาทางขึ้นรถไฟไปเมือง Beppu นะครับ เดินหาทางอยู่นานในสถานี Hakata สุดท้ายก็เจอทางเข้าสถานีครับ ไม่ต้องแตะบัตรอะไรให้ยุ่งยาก เดินเข้าไป โชว์บัตรเบ่ง JR Pass ให้เจ้าหน้าที่ดู ก็เดินเข้าไปได้เลยครับ หลังจากเข้าไปได้ ดูชานชาลาให้ดีนะครับ ว่ารถไฟที่จะไปอยู่ชานชาลาไหน จากนั้นก็ตรงตามไปในชานชาลานั้นได้เลย จากนั้นดูเวลาให้ดีนะครับ ว่ารถไฟมากี่โมง ไปผิดนี่ไปโผล่ไหนไม่รู้นะเอ้อ


รถไฟที่่เราขึ้นคือ รถด่วน Limited Express ชื่อ Kamome นะครับ (เพิ่มเติม ถ้าเรามี JR Pass เราสามารถจองที่นั่งรถไฟได้ที่สถานีนะครับ ที่เดียวกับที่แลกบัตร JR Pass เลย แต่เที่ยวนี้ขบวน Reserved เต็ม เลยต้องยืนบนรถไฟจนถึง Beppu เลย) รถไฟแบบ Limited Express จะแตกต่างกับ Local Train คือจะไม่จอดทุกสถานีนะครับ จะจอดสถานีใหญ่ ๆ ซึ่งประหยัดเวลาไปได้เยอะมาก หลังจากยืนได้สักพักก็เดินทางถึง สถานีเมือง Beppu แล้วครับ



Beppu เป็นเมืองที่เงียบสงบมากครับ เหมาะแก่การพักผ่อนอย่างแท้จริง เนื่องจากเดินทางมาไกลรวมกับบนเครื่องบินนอนกันไม่ค่อยหลับ เราเลยมุ่งหน้าเข้าไปเก็บของที่พักของเราคืนแรกนะครับ โดยคืนแรกนี้เราพักที่โรงแรม Ryokan Nogami Honkan เป็นที่พักไสตล์ดั้งเดิมของญี่ปุ่น เราได้ทำการเดินแบกกระเป๋าอันหนังอึ้งไปตามถนน สักพักก็ถึงที่พักแล้วครับ


วางของเสร็จเราก็เดินทางออกไปหาของกินมื้อแรกของญี่ปุ่นกันนะครับ เดินทางออกไปสักพักเจอร้านอาหารเปิดอยู่ร้านเดียว เลยเดินเข้าไปเลยครับ (ขออภัยที่ไม่มีรูปร้านอาหาร เนื่องจากเหมือนเคยอ่านว่าที่ประเทศญี่ปุ่นจะไม่ถ่ายรูปอาหารตอนรับประทานกัน ก็เลยไม่มีรูปเลย) ราคาค่าครองชีพของที่นี่ค่อนข้างสูงเหมือนกันครับ แต่เทียบกับรสชาติกับราคาแล้ว คุ้มค่ามากครับ หลังจากนั้นแผนการต่อไปคือการเดินทางไปแช่ออนเซน เนื่องจากว่าเป็นของขึ้นชื่อของเมือง Beppu เลย เราได้เดินทางไปขึ้นรถฟรี (เป็นรถที่รับส่งระหว่างสถานีกับโรงแรมที่เราจะไปออนเซนนะครับ)

มาถึงสถานที่แช่น้ำของเราแล้วนะครับ ซึ่งภาษาญี่ปุ่นของเราก็แข็งแรงสุด ๆ !!! เดินตามทางไปจะไปหาน้ำร้อนแช่ ไป ๆ มา ๆ ไม่รู้จะไปทางไหน ก็เลยเดินตามป้ายไป ปรากฎว่า เราได้ไปแช่ในส่วนของ The Aqua Garden ครับ เป็นสถานที่คล้าย ๆ สระว่ายน้ำ ที่ต้มน้ำให้ร้อน แช่ท่ามกลางบรรยากาศที่เย็น สุดยอดไปเลย และอีกเช่นเคย เราไม่สามารถถ่ายรูปข้างในนั้นได้ครับ ดูจากรูป Information แทนไปแล้วกัน ในสระน้ำนี่ส่วนใหญ่จะมีแต่ชาวญี่ปุ่นครับ เราเป็นแค่ชาวต่างชาติ 3 คนในนั้นเลย และแล้วประสบการณ์แก้ผ้าหมู่ครั้งแรกก็มาครับ ในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าเลย เอาวะ ไหน ๆ ก็มาแล้ว ลองสักที ฮ่า ๆ สระ Aqua Garden นี่เป็นสระรวมนะครับดังนั้นจึงต้องใส่ชุดว่ายน้ำลงไปแช่ ซึ่งการแช่นี้ ช่วยผ่อนคลายความเมื่อยจากการแบกของได้มากเลยครับ แช่เสร็จก็เดินทางกลับที่พัก โดย Taxi เนื่องจากว่ารถรับส่งหมดแล้ว ซึ่ง Taxi ที่ญี่ปุ่นนี้ เราไม่ต้องเปิดประตูเองนะครับ คนขับจะมีปุ่มกดเปิด ปิด ประตูให้เรา ส่วนราคาของ Taxi นี่ โหดร้ายพอตัว ขึ้นปุ๊บ มิเตอร์ขึ้น 620 เยนปั๊บ นั่งกลับที่พักประมาณ 2-3 กิโลเมตรได้ โดนค่าเสียหายไป 1500 เยน O.o สาบานว่าถ้าไม่จำเป็นจะไม่ขึ้น Taxi อีกแล้ว ฮ่า ๆ หลังจากนั้นเราก็หลับกันยาวเลยครับ
ส่วนของวันแรก หมดเพียงเท่านี้ รูปปลากรอบ อาจจะน้อยหน่อยนะครับ ตอนต่อไปสัญญาว่ารูปภาพจัดเต็มแน่ ติดตามชมได้ตอนต่อไปนะครับ
つづく
by admin | Mar 19, 2016 | Travel
สวัสดีครับ วันนี้ผมจะมาเล่าถึงประสบการณ์การไปเยือนดินแดนอาทิตย์อุทัยครั้งแรกของผมครับ
ลำดับถัดไป ขอให้ทุกท่านหลับตาลง แล้วนับ 1 – 3 ในใจ ผมจะพาทุกท่านย้อนกลับไปปี 2557 นะครับ
.
1
2
3
..
สนามบินสุวรรณภูมิ
22 มีนาคม 2557 เวลาประมาณ 4 ทุ่ม
ครั้งนี้จะพาทุกท่านสะพายกระเป่าตะลุยสู่แดนอาทิตย์อุทัย ประเทศญี่ปุ่นกันนะครับ โดยเราเลือกที่จะไปทางเกาะใต้ เหตุผลที่เลือกไปเพราะว่า เป็นการเดินทางเองเป็นครั้งแรก ครั้นจะให้ตะลุยเมืองหลวงเลยก็กลัวจะหลง เลยขอเที่ยวชมธรรมชาติอยู่โซนต่างจังหวัดดีกว่า ฮ่า ๆ
อุปกรณ์ถ่ายภาพที่พกไปในครั้งนี้คือ Canon Eos 6D + Canon EF 16-35 f2.8L IS II + Canon EF 70-200 f2.8L + Canon 530ex ii แล้วก็ iPhone 5 นะครับ (ปล. รูปของตอนที่ 1 อาจจะไม่คมชัดมาก เนื่องจากถ่ายโดยมือถือนะครับ)

พอมาถึงสนามบินก็ถึงเวลาที่จะต้องเช็คอินนะครับ ก่อนเช็คอินถ้าใครกลัวว่าจะถูกเปิดกระเป๋าตอนที่โหลดกระเป๋าขึ้นเครื่อง ที่สนามบินสุวรรณภูมิมีบริการ Wrap กระเป๋าให้ครับในราคา 150 บาท ซึ่งผมเอากระเป๋าเป้ไปในครั้งนี้จึงใช้บริการ Wrap สักหน่อย เนื่องจากมีซิบเยอะเหลือเกินบนกระเป๋า หลังจากนั้นก็ทำการเช็คอินครับ โดยผมได้ทำการซื้อตั๋วเครื่องบินของ China Eastern Airline ผ่านทางเว็บไซต์ พอถึงเวลาเราแค่ยื่น Passport ไปเค้าก็จะให้ Boarding Pass มา 2 ใบครับ คือ 1 บินจาก กรุงเทพ – เซี่ยงไฮ้ และ 2 เซี่ยงไฮ้ – ฟุกุโอกะ หลังจากเช็คอินเสร็จก็จะเข้าสู่กระบวนการตรวจคนออกจากเมืองตามปกติ หลังจากนั้นเราจะมาอยู่ที่ส่วนของ Duty Free แล้ว
เนื่องจากเพื่อนผมมีบัตร Gold ของธนาคารไทยพาณิชย์ จึงสามารถเข้าไปในส่วนของ Lounge ของ King Power ได้ #รู้สึกพรีเมี่ยมมาก ซึ่งเราได้นั่งพัก หาของทานเล่นอยู่จนถึงเวลาเครื่องออก

พอถึงเวลาปรากฎว่าเครื่องบินดีเล ;w; เราก็ได้แต่รอต่อไป รอจนได้ขึ้นเครื่องสมาชิกในทีม 1 คนก็ได้ไปเดินเล่นหา Hot Dog ฟรีกินจนกระทั่ง . . เครื่องบินประกาศ Final Call . . . เอาแล้วสิ เที่ยวเองรอบแรกก็ขึ้นเครื่องเป็น 3 คนสุดท้ายซะแล้ว
ขาไปจาก กรุงเทพ – เซี่ยงไฮ้ ได้นั่งเครื่องบิน Airbus A330-300 เป็นเครื่องบิน 3 แถวแบบ 2-4-2 ซึ่งมี จอทีวีเพื่อดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกมได้อีกด้วย (แต่ขณะนั้นประมาณ ตี2ครึ่งได้ ไม่มีแรงแหล่ววว)

ซึ่งผมรู้จักหนังเรื่องเดียวที่ดูได้คือ Thor 2 ฮ่า ๆ แต่ไม่ไหวครับ สักพักก็หลับแล้ว . . . แต่ว่า หลับไปได้สักพัก แอร์ สาว สวย หมวย อึ๋ม ของทาง China Eastern ก็เดินมาแล้วเอาที่วางของด้านหน้าลงมาให้ แล้วก็ถามว่า ออมเร็ต ออร์ นูดเดิ้ล ไอเราก็แปลกใจ จะให้กินอาหารตอน ตี 3 กว่า ๆ เนี่ยนะ ก็เลยเลือกอาหารเบา ๆ ไป เอา ออมเร็ตก็แล้วกัน ทางแอร์สาวคนนั้นก็ได้นำอาหารมาเสริฟครับ ซึ่งเป็นอาหารมาจากครัวการบินไทยนี่เอง รถชาติก็พอใช้ได้ แต่กินไม่ลงจริง ๆ กระเพาะไม่ยอมทำงาน กินไปนิดหน่อยก็ได้เวลานอนแล้วครับ นอนได้สักพัก (หลับ ๆ ตื่น ๆ) แสงสว่างก็เล็ดลอดเข้ามาสู่ตัวเครื่องนี่สว่างแล้ว

หลังจากนั้นเราก็เข้าสู่สนามบิน Pudong ครับ ซึ่งเวลาที่เซี่ยงไฮ้นี้จะเร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมง ดังนั้นปรับนาฬิกาของท่านให้ดีนะครับ ไม่งั้นท่านอาจตกเครื่องได้ พอมาถึงสนามบิน Pudong ก็ต้องทำการตรวจค้นอีกทีครับ คล้าย ๆ กับขาออกที่สุวรรณภูมิเลย เดินตามมาเรื่อย ๆ จะเข้าสู่ภายในส่วนขาออกของสนามบินครับ ซึ่งสนามบินนี้มี Free Wifi ให้ใช้ด้วยนะครับ นำ Passport ไปขอที่ Information ได้เลย แต่ตอนผมไปถึงมีคนไทยมาขอไว้แล้วเหมือนกัน ผมเลยขอแจมมาด้วยเลยทีเดียว ไม่ต้องขอหลายครั้ง หลังจากนั้นก็นั่งรอ นอนรอขึ้นเครื่องครับ
ขาออกจากเซี่ยงไฮ้ไปฟุกุโอกะนี่เราไปด้วยเครื่องบินลำเล็กครับ เป็นแบบ 2 แถว 3-3 ใช้เวลาบินประมาณ 1 ชั่วโมงก็ถึงสนามบินฟุกุโอกะแล้วครับ

หลังจากขึ้นเครื่องสักพักก็ถึงสนามบินฟุกุโอกะแล้วครับ นักบินทำการแลนดิ้งได้อย่างสวยงาม หลังจากถึงสนามบินฟุกุโอกะ เราก็ต้องทำการกรอกใบเข้าเมือง ซึ่งจะต้องกรอกด้วยว่าเราจะพักที่ไหน เตรียมที่อยู่ของท่านให้ดีนะครับ กรอกเข้าไป ตม. ที่นี่ไม่อยากครั้ง ตอนทำการตรวจสอบข้อมูลบุคคล มีเป็นภาษาไทยให้เราด้วย ทำได้ง่ายมาก เจ้าหน้าที่ก็ถามนิดหน่อย มาเที่ยวหรอ มากับเพื่อนกี่คน พักที่ไหน กลับเมื่อไร สบายมากครับ ตอบไปให้หมด สักพักก็จะโผล่ออกมาตรงส่วนรับกระเป๋า . .. รับกระเป๋าเสร็จ ก็เตรียมพร้อมสำหรับการเที่ยวญี่ปุ่นกันแล้ว

ติดตามการเดินทางวันแรกในญี่ปุ่นได้ตอนต่อไปนะคร๊าบบบบ
つづく
You must be logged in to post a comment.